หลายๆวันที่ผ่านมาผมมีความรู้สึกอยากพักผ่อนหรือไม่ก็ออกเดินทางไปไหนต่อไหนซักแห่ง
อยากจะได้ที่ๆไม่มีใครรู้จัก หรือไม่รู้จักใครๆ แต่มองไปมองมาดูแล้วที่ๆดีที่สุดคงเป็น
การเดินทางไปสู่โลกแห่งความคิดของผมเอง อย่างการได้อ่านหนังสือเล่มโปรดดูจะเป็นทางเลือกที่เข้าท่าที่สุดใน
ณ. ขณะนี้
ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจจึงเอานวนิยายจีนที่เคยอ่านมาเมื่อหลายปีที่แล้วมามาปัดฝุ่น
และลิ้มรสโลดแล่นเข้าไปอยู่ในกระแสกาลเวลาในปลายราชวงศ์ซ่งของจีน (ราว พ.ศ. 1819) ซึ่งขณะบ้านเมืองกำลังต้องผจญกับภัยสงครามจากชนเผ่ามองโกล
โดยเรื่องราวกำลังดำเนินสู่จุดไคล์แม็กซ์ ในหน้าที่หนึ่งร้อยแปดสิบของเทพทลายนภา ประพันธ์โดยหวงอี้
แปลโดยอาจารย์ น.นพรัตน์ อาจารย์ท่านได้แปลเรื่องราวของการกำเนิดสรรพสิ่งไว้เป็นประโยคเรียบหรูดั่งนี้ว่า
![]() |
ภาพอู๋จี๋สู่การเกิดยันต์แปดทิศ |
ตำราโบราณเอ่ยถึงแรกกำเนิดฟ้าดิน
โดยว่าไว้ดั่งนี้ว่า จากอู๋จี๋(ไร้ที่สุด)เป็นไท่จี๋ ไท่จี๋ก่อเกิดสองสัณฐาน
สองสัณฐานก่อเกิดสี่ลักษณ์ สี่ลักษณ์ก่อเกิดปากัว (ยันต์แปดทิศ) อันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ยังมีคำกล่าวว่าทุกวัตถุธาตุมีหนึ่งไท่จี๋
เราท่านต่างมีหนึ่งไท่จี๋อยู่ที่ใจ หนึ่งไท่จี๋ครอบคลุมปัญญาไร้ที่สุด
ดังนั้นพระพุทธองค์มีคำกล่าวไว้ ผู้คนล้วนมีพุทธภาวะ
นับได้ว่าการอ่านหนังสือคือการบ่มเพาะปัญญาจริงๆ
เราสามารถหาปรัชญาการดำเนินชีวิต ได้รับรู้ถึงความรู้ที่น่าสนใจบางประการผ่านตัวอักษร
เมื่อแต่ละปีที่ผ่านไปมุมมองในเรื่องราวก็ล้วนเปลี่ยนแปลงตามประสบการณ์ชีวิตและความรู้ใหม่ๆที่ได้รับมา
ทำให้ผมนึกถึงงานเขียนศาสตร์จีนในนิตยสารโหรามหาเวทย์ หลายครั้งที่ผมมักจะเล่าในสิ่งที่ตนเองค้นคว้า
โดยไม่ได้ปูพื้นฐานให้ท่านผู้อ่านอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ผู้มีอุปการคุณ และแฟนๆคอลัมน์ทั้งหลายบางท่านไม่ได้มีพื้นฐานทางฮวงจุ้ยหรือศาสตร์จีนแต่อย่างใดเกิดความสับสนได้โดยง่าย
วันนี้ผมจึงตั้งใจที่จะกล่าวถึงพื้นฐานของฮวงจุ้ยสายคำนวณ
นั่นก็คือเรื่องราวของ ยินหยาง ผมเคยเขียนเรื่องราวของยินหยางในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็น
การทำนายแบบเอี๊ยเกง(อี้จิง) หรือไสยเวทย์ดำของจีนที่เรียกว่า กู่
และอีกหลายต่อหลายเรื่อง
หากเราไม่เข้าใจยินหยางซึ่งเป็นพื้นฐานของวิชาต่างๆแล้วการจะทำความเข้าใจเนื้อหาอื่นในแง่อภิปรัชญาของจีนก็จะเป็นไปได้ยาก
เมื่อเราเกิดความสับสนการที่จะเข้าใจผิดในนิยามความหมาย รวมถึงการตีความสถานการณ์ฮวงจุ้ยบ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็จะมีโอกาสผิดพลาดได้โดยง่ายเช่นกัน
ในฮวงจุ้ย ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ายินหยางในภาษาจีนกลางเรียกยินหยาง
ในเมืองไทยเรามักนิยมเรียก อิมเอี๊ยง ตามสำเนียงแต้จิ๋วซึ่งเป็นคนจีนส่วนใหญ่กัน
จากประโยคขั้นต้นที่เขียนเอาไว้ว่า
ทุกวัตถุธาตุมีหนึ่งไท่จี๋ เราท่านต่างมีหนึ่งไท่จี๋อยู่ที่ใจ
หนึ่งไท่จี๋ครอบคลุมปัญญาไร้ที่สุด ประโยคนี้ชี้ให้เห็นว่า
ทุกๆอย่างไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า อาคารบ้านเรือนย่อมมีไท่จี๋อยู่ในตัว
มนุษย์เรามีไท่จี๋อยู่ที่ใจดังนั้นไท่จี๋จึงเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในมองไม่เห็นรูปลักษณ์แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก
ดังนั้นในบ้านเรือนสถานที่ย่อมมีหนึ่งไท่จี๋
เมื่อไท่จี๋มีพลังไม่จำกัดบ้านใด อาคารใด สถานที่ใด สามารถถนอมรักษาสภาวะไท่จี๋ไว้ได้
บ้าน อาคาร สถานที่นั้นๆ ย่อมมีพลังส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดี มีเงินทอง แต่ว่าเนื่องจากไท่จี๋ไม่ใช่สิ่งของ
ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาวะของพลังคำนวณได้ด้วยความสมดุลหากหาที่แห่งนั้นก็จะร่มเย็นเป็นสุขได้
แต่ไท่จี๋ก็อยู่ในธรรมชาติเช่นเดียวกันทุกๆสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
ตามกฎของที่บรมาศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ นั่นก็คือไตรลักษณ์
ซึ่งประกอบไปด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้กระทั่งอู๋จี๋หรือไท่จี๋ก็ยังไม่สามารถข้ามพ้นไปได้
![]() |
รูปภาพสภาวะอู๋จี๋สู่ไท่จี๋ |
สภาวะอู๋จี๋
มีความหมายว่า ไร้ขอบเขต เป็นอนันต์ หรือความว่างเปล่า ในสมัยเลียดก๊กของจีน (2500 ปีที่แล้ว) ลัทธิเต๋าได้อธิบายสภาวะอู๋จี๋ไว้ว่าเป็นจุดตั้งต้นของจักรวาล
จากอู๋จี๋หรือความว่างเปล่าสู่ สภาวะมีตัวตนขั้นสูงสุดของจักรวาลนั่นก็คือ ไท่จี๋ ดังนั้นไท่จี๋จึงกำเนิดจากความไม่มีตัวตนเป็นพื้นฐานเพราะจากความไม่มีกลายเป็นความมี
พลังจากความว่างเปล่าสู่ความมีตัวตนจึงมากมายมหาศาล
เหมือนกับคนยากจนสิ้นเนื้อประดาตัวกัดฟันสู้ทนพลิกชีวิตกลับกลายจากไม่มีเป็นมี
บุคคลเหล่านี้ก็คือบุคคลผู้ที่ก้าวเข้าสู่สภาวะอู๋จี๋สู่ไท่จี๋ เมื่อยากจนข้นแค้นสามารถพลิกกลับจึงกลายเป็นมหาเศรษฐีกันไปในที่สุด
ในวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์จากความว่างปล่าสู่การก่อเกิดไว้ในทฤษฏีบิ๊กแบง
ซึ่งเป็นทฤษฏีที่ว่าด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ในจักรวาลจนแปรสภาพจากความว่างเปล่าสู่ความมีตัวตน
กำเนิดชีวิตขึ้นอย่างโลกของเรา
ไท่จี๋จึงมีพลังมากหาที่เปรียบไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ แม้กระทั่งไท่จี๋เองก็ไม่สามารถทรงสภาพอยู่ได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
จึงนำไปสู่การเปลี่ยนจากไท่จี๋สู่สองสัณฐานซึ่งเป็นการประกอบกันระหว่าง
ยินและหยาง ทำให้เราทราบว่าทุกอย่างล้วนมีสองด้านเป็นสิ่งที่คู่กัน มีขึ้นย่อมมีลง มีสว่างต้องมีมืด มีนิ่งต้องมีเคลื่อนไหว มีชายต้องมีหญิง มีแก่ต้องมีเด็ก มีแข็งแรและล้มป่วย ตามหลักโลกธรรมแปด
ยินและหยาง ทำให้เราทราบว่าทุกอย่างล้วนมีสองด้านเป็นสิ่งที่คู่กัน มีขึ้นย่อมมีลง มีสว่างต้องมีมืด มีนิ่งต้องมีเคลื่อนไหว มีชายต้องมีหญิง มีแก่ต้องมีเด็ก มีแข็งแรและล้มป่วย ตามหลักโลกธรรมแปด
ดังนั้นการพิจารณาอาคารสถานที่หรือแม้กระทั่งดวงชะตา
เราๆในฐานะคนที่เพิ่งค้นคว้าต้องพิจารณาความเป็นไปของยินหยางซึ่งเป็นฐานให้ใกล้เคียงกับสภาวะไท่จี๋มากที่สุดเพื่อได้รับประโยชน์ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่แสนจะจำกัด
เราจึงจำเป็นต้องรู้จักยินหยางจนเคยชิน เพราะหากไท่จี๋ไร้ที่สิ้นสุดราชวงศ์ทั้งหลายของจีนคงไม่เสื่อมสูญลงตามกาลเวลา
กรุงศรีอยุธยาคงไม่ถูกเผา อาณาจักรในอดีตยังคงต้องอยู่มาถึงปัจจุบันไม่สายสูญไปเช่นนี้
ผมขอนำคำในคัมภีร์เต๋าเต็กเกงซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญของลัทธิเต๋าที่กล่าวถึงสภาวะอู๋จี๋
คร่าวๆดังนี้นะครับ
“รู้จักสีขาว (แสงสว่าง) รักษาความมืด
เป็นรูปแบบของทุกสรรพสิ่งภายใต้สรวงสวรรค์มีความสมบูรณ์ และเป็นนิรันดรไร้ซึ่งข้อตำหนิ
เมื่ออยู่ในความสมบูรณ์นิรันดรไม่มีตำหนิ เราจะกลับไปที่ความไร้ที่สุด”
![]() |
Thawan Duchanee “Power of Land” on display at MOCA Bangkok in June 2013 |
ในโลกปัจจุบันศิลปินชื่อดังระดับโลกทั้งหลาย
อย่างประเทศไทยเราก็ต้องกล่าวถึง อ. ถวัลย์ ดัชนี ลายเส้นอ่อนโยนหนักแน่น
ในเนื้อหางานศิลป์มีภายนอกสู่ภายในคือคนที่มองเห็นยินหยางในสิ่งต่างๆได้ด้วยสามัญสำนึก
เห็นความงามของความหนักและเบาในสิ่งต่างๆ สร้างงานศิลปะระดับโลกสร้างรายได้มหาศาล
ในโลกศิลปะการรู้จักใช้แสงและเงาที่เรียกกันว่า
กิอารอสสกูโรซึ่ง แปลว่าแสงและเงา เป็นเทคนิคการสร้างมิติโดยใช้การแสดงค่าต่างแสงระหว่างความมืดและความสว่าง
ทำให้เห็นปริมาตร รูปทรง และบริเวณที่ว่างอย่างชัดเจน
ฝึกฝนจนกระทั่งสามารถคำนวณจุดลงตัวของค่าต่างแสงจนเกิดมิติขึ้น การแสดงค่าต่างแสงนอกจากจะสร้างมิติด้านปริมาตร
รูปทรงและช่องว่างแล้ว ยังแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกแบบคลุมเครือและซ่อนเร้น
ซึ่งทิ้งปริศนาให้คนดูได้ตีความและขบคิดกันเอง ผลงานระดับครูมักจะมีกิอารอสสกูโรที่พอดีพอเหมาะจนภาพหรืองานปั้นมีความสวยงามเป็นที่ยอมรับในสากล
ในโลกปัจจุบัน สตีฟ
จ็อป ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างโทรศัพท์ไอโฟน ซึ่งมีความเรียบง่ายแต่ลุ่มลึกเป็นการตัดกันระหว่างสีขาวและสีดำ
หรือสองสีพื้นฐานเท่านั้น เมื่อความสมดุลเกิดขึ้น ไท่จี๋ในการออกแบบก็ถูกปลดปล่อยออกมา
จนเป็นที่นิยมของคนทั่วโลก และเป็นต้นแบบของรูปทรงโทรศัพท์ยุคใหม่แบบไม่เคยปรากฏมาก่อน
เหมือนกับว่าเมื่อปราชญ์ทั้งหลายรู้ถึงโอกาสและความธรรมดาแห่งสิ่งประกอบคู่ คือ
ในความเจริญย่อมมีความเสื่อมถอย ในความเสื่อมถอยย่อมมีการตั้งต้นของสิ่งใหม่
ดังนั้นการดูฮวงจุ้ย การตรวจดวงชะตาไม่ใช่ว่าจะนำวันเดือนปีมาเดินดาว
ดูทิศ หาทางเข้าออกน้ำ กำหนดสี ดูธาตุหนักธาตุเบาในทันที สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการคำนวณปลายทางแห่งเรื่องราว
ใครก็ตามชำนาญการพิจารณาสภาวะไท่จี๋แล้วล่ะก็ คนๆนั้นก็จะสามารถกำหนดเรื่องราวได้อย่างแม่นยำ
การรู้จักตำแหน่งหนักเบาของสถานที่ ที่ใดควรมีแสง ที่แห่งใดควรมีเงา วางสิ่งไหนตำแหน่งใดจึงงามสมบูรณ์
โดยเข้าใจถึงส่วนประกอบคู่นั่นเอง ดั่งคำว่า “เมื่ออยู่ในความสมบูรณ์นิรันดรไม่มีตำหนิ เราจะกลับไปที่ความไร้ที่สุด”
No comments:
Post a Comment