Monday, 30 December 2013

พระแม่ธรณีหนึ่งออ 女媧 (เทพนหวี่วา)

วันนี้ผมจะมาเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของบุคคลในยุคบรรพกาล เป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่ยุคสร้างโลก
บุคคลท่านนี้ คือ พระแม่ธรณีหนึ่งออ หรือเทพธิดาหนึงวาสี
  พระองค์ถือเป็นหนึ่งในสามกษัตริย์ของยุคโบราณของจีนครับ โดยการจัดอันดับในบันทึกมหาประวัติสาสตร์ของซีแบ้เชง司馬遷 (ซือหม่าเซียน) ราชวงศ์ฮั่ง漢朝 (ฮั่น) พระนามหนึงวาสีที่ผมใช้นี้ ผมใช้ตามวรรณกรรมเรื่อง ห้องสิน 封神演義   ที่ได้รับการแปลในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ส่วนชื่อของเทพธิดาพระองค์นี้ในภาษาจีนกลางจะออกเสียงว่า เทพนหวี่วา女媧 



ท่านเป็นนางฟ้าในเทพปกรณัมจีนมีปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง ไคเภ็ก (开辟演義) หรือบันทึกการสร้างโลก โดยในวรรณกรรมนี้ระบุรายละเอียดพระวรกายของเทพธิดาหนึงวาสีไว้ดั่งนี้ว่า

พระพักตร์ขาว พระทนต์ขาวเหมือนแก้วสี พระโอษฐ์แดง สูงสิบห้าศอกกับอีกหนึ่งคืบ รูปงาม มีสติปัญญา
ความงามของพระองค์เป็นที่ร่ำลือมาก เรียกได้ว่า งามขนาดล่มเมือง ทั้งนี้ในวรรณกรรมเรื่องห้องสินได้ระบุความงามของเทพธิดาหนึงวาสีไว้ตอนหนึ่งว่า

พระเจ้าติวอ๋อง
商紂王ผู้เป็นจักรพรรดิครองเมืองจิวโก๋ แห่งราชวงศ์แห่ 商朝ได้พระราชดำเนินไปสักการะเทพธิดาหนึงวาสีที่ศาลสถิตเทพ ปรากฏพบเห็นเพียงเงาจางๆจากแค่วูบหนึ่งที่ลมพัดให้ม่านที่ปกปิดเผยอออกเท่านั้น
ทำให้พระเจ้าติวอ๋องเห็นรูปลักษณ์ไม้สลักของเทพธิดาที่อยู่ภายใน พระเจ้าติวอ๋องถึงกับหลงรักเทพธิดาหนึงวาสี และได้แต่กลอนเขียนไว้ที่ศาลสักการะไว้ว่า 
“’งามพร้อมทั่วสรรพางค์ จะดูไหนก็งามจำเริญใจจำเริญตา นี่หากว่าเป็นรูปไม้ ถ้าเป็นรูปสตรีงามดังนี้จะรับไปเป็นมเหสีครองเมือง 

เพราะโคลงสี่บาทนี้ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายและเป็นการเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดของพระราชวงศ์นับแต่นั้น
เทพธิดาพระองค์นี้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างว่า นอกจากมีพระปรีชาสติปัญญาดีสามารถทรงช่วยจักรพรรดิฮกฮีทำนุบำรุงแผ่นดินและจัดธรรมเนียมให้บ้านเมืองมีระเบียบยิ่งขึ้น พระองค์ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้สร้างมนุษยชาติ และซ่อมกำแพงสวรรค์ (ท้องฟ้า)ด้วยหิน 5 สี โดยมีตำนานเล่าไว้ว่า 


ครั้งจงกงสีพี่น้องทั้งสองรบกัน ผู้พ่ายแพ้แค้นใจเอาศีรษะกระทบภูเขาภูเขาก็ทำลาย ครั้งกระโดดขึ้นไปด้วยกำลังศีรษะกระแทกฟ้า ฟ้าก็พังไปครั้นตกกลับมายังแผ่นดินแผ่นดินก็ถล่ม พระอาทิตย์พระจันทร์ไม่สามารถส่องแสงได้ ความมืดมนปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน เทพธิดาหนึงวาสีเห็นดังนั้นจึงนำเอา ศิลาเหลือง ศิลาแดง ศิลาเขียว ศิลาดำ และศิลาขาว มาเคี่ยวให้ละลายแล้วและไปปิดยารอยแตกฟ้าและดินให้กลับสู่ความเป็นปรกติ พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ส่องสว่างดังเดิม

ทำให้นักประวัติศาสตร์ ซีแบ้เล้ง นับเป็นเทพธิดาหนึงวาสีเป็นประมุขคนที่สองของประเทศจีนในยุคบรรพกาลด้วย ประมุขในครั้งบรรพกาลสามพระองค์ของจีน ได้แก่ เทพเจ้าฮกฮี  伏羲 เทพธิดาหนึงวาสี (女媧)
พระองค์ที่สามได้แก่เจ้าแห่งมนุษย์ซิ้งล้ง   (
神農) 

รวมเรียกยุคนี้ว่า ยุคสามกษัตริย์
三皇 ซึ่งในยุคของเทพเจ้าฮกฮีและเทพธิดาหนึงวาสี เกิดเหตุสำคัญขึ้นนั่นก็คือมหาอุทกภัย น้ำท่วมครั้งใหญ่” 

ในปกรณัมเทพของจีนก็ได้มีบันทึกถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จนเกิดความพินาศไปทั่ว มีมนุษย์สองคนที่รอดจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้แก่ เทพเจ้าฮกฮีและเทพธิดาหนึงวาสี ซึ่งตามตำนานระบุว่าเทพธิดาหนึงวาสีเป็นพระกนิษฐาของเทพเจ้าฮกฮี ทั้งสองพระองค์ได้หนีภัยน้ำท่วมไปบนเทือกเขาสูงที่เรียกกันว่า เทือกเขาคุนลุ้น  และได้รับสาสน์จากสวรรค์ว่าให้ทำการสร้างมนุษย์ขึ้น ทั้งสองพระองค์จึงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากดิน โดยทำการปั้นเป็นหุ่นรูปคน เมื่อรูปปั้นดินได้รับปราณจากฟ้าและดินจึงเกิดมีชีวิตขึ้น ทั้งสองพระองค์จึงถือเป็นเทพบิดรและเทพมารดรของมนุษย์



Saturday, 14 December 2013

วิธีการหาวันราหูแบบจีน

วิธีการหาวันราหูแบบจีน



วันราหูจีน โบราณจารย์ท่านกำหนดว่า เมื่อคำนวนแล้วพบวันใดเป็นวันราหูวันนั้นจะไม่ดูฮวงจุ้ย ไม่เปิดเข็มทิศ(โล่เก) เนื่องจากเป็นวันฆ่าอาจารย์หรือเป็นวันร้ายต่อซินแสโหราศาสตร์(ฮวงจุ้ย)
ดังนั้นหากท่านผู้อ่านพอมีความรู้เรื่อง 12 นักษัตรจีนอยู่บ้างควรดูปฏิทินจีนประกอบก่อนที่จะเชิญซินแสทั้งหลายมาตรวจสถานที่เพื่อที่จะได้ไม่ตรงกับวันราหูทำให้เรื่องมงคลกลายเป็นเรื่องร้ายโดยใช่เหตุ

วันราหูจีนหาโดยการเทียบกับนักษัตรประจำปี 
เช่น ปี 2557 เป็นปีมะเมีย วันใดก็ตามที่ตรงกับนักษัตร เถาะธาตุไฟวันนั้นเป็นวันราหู
ปีชวด พบวันระกาธาตุน้ำ
ปีฉลู พบวันจอธาตุไม้
ปีขาล พบ วันกุนธาตุไฟ
ปีเถาะ พบ วันชวดธาตุไม้
ปีมะโรง พบวันฉลูธาตุไม้
ปีมะเส็ง พบวันขาลธาตุไม้
ปีมะเมีย พบ วันเถาะธาตุไฟ
ปีมะแม พบวันมะโรงธาตุไม้
ปีวอก พบวันมะเส็งธาตุดิน
ปีระกา พบวันมะเมียธาตุไม้
ปีจอ พบ วันมะแมธาตุไฟ
ปีกุน พบ วันวอกธาตุไม้

วันราหูจีนหาโดยการเทียบกับฤดูกาล
เช่น เดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน
 (โดยประมาณอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถ้าพบกับวันเถาะธาตุไม้ วันนั้นเป็นวันราหู


ฤดูใบไม้ผลิ (ประมาณ 5 กุมภาพันธ์ - 4พฤษภาคม ) พบ วันเถาะธาตุไม้

ฤดูร้อน (ประมาณ 5 พฤษภาคม 4 สิงหาคม ) พบ วันมะเมียธาตุไฟ

ฤดูใบไม้ร่วง (ประมาณ 5  สิงหาคม 4 พฤศจิกายน ) พบ วันวอกธาตุทอง
ฤดูหนาว (ประมาณ 5 พฤศจิกายน 4 กุมภาพันธ์ ) พบ วันระกาธาตุทอง


วันราหูจีนหาโดยการเทียบกับเดือน 
เช่น เดือนกุมภาพันธ์
 
(จีนพบวันกุน วันนั้นเป็นวันราหู

กุมภาพันธ์ พบ วันกุน
มีนาคม พบ วันชวด
เมษายน พบ วันฉลู
พฤษภาคม พบ วันขาล
มิถุนายน พบ วันเถาะ
กรกฎาคม พบ วันมะโรง
สิงหาคม พบ วันมะเส็ง
กันยายน พบ วันมะเมีย
ตุลาคม พบ วันมะแม
พฤศจิกายน พบ วันวอก
ธันวาคม พบ วันระกา
มกราคม พบ วันจอ

เวลาราหูเมื่อเทียบกับนักษัตรประจำวัน

เช่น วันชวด พบเวลา 01.00 02.59 น. และ11.00 -12.59 น. เป็นเวลาราหูปรากฏ


  • วันชวด พบเวลา 01.00 02.59 น. และ 11.00 -12.59 น.
  • วันฉลู พบเวลา 09.00 10.59 น. และ 23.00 -00.59 น.
  • วันขาล พบเวลา 03.00 04.59 น. และ 11.00 -12.59 น.
  • วันเถาะ พบ 07.00 08.59 น. และ 19.00 -22.59 น.
  • วันมะโรง พบ 09.00 10.59 น. และ 01.00 -02.59 น.
  • วันมะเส็ง พบ 07.00 08.59 น. และ 19.00 -22.59 น.
  • วันมะเมีย พบ 05.00 -06.59 น. และ 15.00 -16.59 น.
  • วันมะแม พบ 11.00 -12.59 น. และ 07.00 -08.59 น.
  • วันวอก พบ 01.00 -02.59 น. และ 19.00 -22.59 น.
  • วันระกา พบ 11.00 -13.59 น. และ 23.00 -00.59 น.
  • วันจอ พบ 05.00 -06.59 น. และ 11.00 -12.59 น.
  • วันกุน พบ 05.00 -06.59 น. และ 07.00 -08.59 น.

Monday, 9 December 2013

ผังห่อโต้ว



ตำนานกล่าวไว้ว่า


เจ้าแห่งสวรรค์ฮกฮี ได้พิจารณาคามเป็นไปของธรรมชาติจนได้เข้าใจอย่างแตกฉานในความสัมพันธ์ระหว่าง ท้องฟ้าแผ่นดิน ที่ทำปฏิกริยาต่อมนุษย์เรา ด้วยจิตเมตตาอันสูงส่งพระองค์มีความเมตตาต้องการที่จะถ่ายถอดองค์ความรู้เหล่านี้ให้อนุชนรุ่นหลังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ พระองค์จึงคิดสัญลักษณ์ที่จะสื่อความหมายเนื่องจากยุคนั้นยังไม่มีภาษาพูด และภาษาเขียน

ท่านจึงใช้สัญลักษณ์ม้ามังกรซึ่งเป็นสัตว์ที่แปลกพิศดารมีผลให้คนในยุคนั้นหรือยุดต่อๆมาสามารถจดจำได้โดยง่าย โดยกำหนดให้บนม้ามังกรมีจุดสีดำขาว เรียงตัวกันเป็นรหัสเฉพาะซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า

"แผนภูมิแม่น้ำอึ๊งฮอ" หรือ ห่อโต้ว โดยจุดขาวจะเป็นตัวแทนของเลขคี่ซึ่งเป็นตัวแทนของ เอี๊ยง ในอิมเอี๊ยง ส่วนจุดดำจะเป็นตัวแทนของเลขคู่ซึ่งเป็นตัวแทนของ อิม ในอิมเอี๊ยง โดยมีตั้งแต่หนึ่งจุด ไปจนถึงสิบจุด แบ่งออกได้ทั้งหมดห้าคู่ แยกออกสี่ทิศทาง รวมแปดคู่ และหนึ่งตรงกลางอีกหนึ่งคู่ ก็จะได้ครบสิบคู่พอดี



ตรงกลาง จะมีจุดสีขาวห้าจุด ล้อมด้วยจุดสีดำสิบจุด
ทิศตะวันออก จะมีจุดสีขาวสามจุด คู่กับจุดสีดำแปดจุด
ทิศใต้ จุดสีขาวเจ็ดจุด คู่กับจุดสีดำสองจุด
ทิศตะวันตก จะมีจุดสีขาวเก้าจุด คู่กับจุดสีดำสี่จุด
ทิศเหนือ จะมีจุดสีขาวหนึ่งจุด คู่กับจุดสีดำหกจุด

ถือเป็นปฐมภูมิแห่งสรรพสิ่งในรูปแบบสร้างสรรค์

1-4 เป็นตัวแทนแห่งพลังไร้รูป
เมื่อเอี๊ยงคี่ อิมคู่ และสัญลักษณ์5จุดเป็นตัวแทนของโลกรองรับสรรพสิ่ง
เมื่อ 5จุด พบพลังปฐมภูมิของเอี๊ยง(หนึ่งจุด) ซึ่งเป็นพลังแรกสุด 1เอี๊ยง+5โลก = 6อิม หกจุดเป็นอิมที่ทิศเหนือ ปรากฏเป็น "ธาตุน้ำ"
น้ำจึงเป็นธาตุแรกให้กำเนิดธาตุไม้ทิศตะวันออก ไม้ได้รับความร้อนจึงกำเนิดธาตุไฟทิศใต้ เมื่อไฟเผาผลาญมอดกลายเป็นธาตุดิน 5 พบ 5ของโลกจึงรวมได้เป็น 10 จุดแแห่งอิม ด้วยปัจจัยของเวลา ดินรวมตัวกันเข้ากลายเป็นธาตุโลหะทิศตะวันตก โลหะตั้งไว้กลางแจ้งอุณหภูมิเปลี่ยนจึงเกิดน้ำ(สนิม) สุดท้ายก็ย้อนกลับไปสู่จุดตั้งต้นกลายเป็นน้ำ และหมุนวนเป็นวัฏจักร

เมื่อนำจุดที่มีจำนวนคี่ได้แก่ 1 3 5 7 9 ซึ่งเป็นตัวแทนของเอี๊ยง เมื่อเราลากเส้นโยงกันจะได้วงจรครึ่งเสี้ยวของเอี๊ยง
เมื่อนำจุดที่มีจำนวนคู่ได้แก่ 2 4 6 8 10 ซึ่งเป็นตัวแทนของอิม เมื่อลากเส้นโยงกันจะได้วงจรครึ่งเสี้ยวของอิม

อิมเอี๊ยงอยู่คู่กันเสมอในผังห่อโต้ว

มือของมนุษย์ก็ถือสร้างขึ้นข้างละห้านิ้ว และจะต้องมีมือข้างที่ถนัดเป็นตัวแทนของเอีียงและข้างที่ไม่ถนัดเป้นตัวแทนของอิม เมื่ออิมเอี๊ยงนำมารวมกันย่อมได้ 10
อวัยวะของเราก็แยกเป็นกลวงและตันซึ่งก็คืออิมเอ๊ยงเช่นกัน มีหน้าที่เด่นชัดและมีหน้าทีซ่อนแฝง
แตกต่างกันไปตามหน้าที่

ผังห่อโต้วจึงเป็นผังแห่งการก่อเกิดในรูปแบบตามเข็มนาฬิกา ในมุมกลับกันย่อมมีผังแห่งการสูญสิ้นหรือผังสลายเป็นของคู่กันด้วยผังนี้มีชื่อว่า "ผังลกจือ" ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบทวนเข็มนาฬิกา

เจ้าแห่งสวรรค์ฮกฮี


ตามตำนานโลกยุคโบราณเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้น พื้นที่ราบไม่สามารถอยู่อาศัยได้สิ่งมีชีวิตล้มตายเป็นจำนวนมาก
มีแต่กษัตริย์ฮกฮีและพระแม่หนึ่งออเท่านั้นที่รอดชีวิตโดยได้หนีขึ้นไปบนยอดเขาคุนหลุน  ทั้งสองได้สวดอธิษฐานขอคำชี้แนะจากสรวงสวรรค์ และสวรรค์ก็ทรงเมตตาได้ให้ทั้งสองช่วยกันสร้างมนุษย์



ทั้งคู่จึงได้นำดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปคน ด้วยพลังอันศักดิ์สิทธิ์หุ่นดินเหนียวได้กลายเป็นมนุษย์ขึ้นมา ภาพในจินตนาการระบุว่ากษัตริย์ฮกฮีและพระหนึ่งออมีพระวรกายเป็นครึ่งคนครึ่งงู เหมือนดั่งพระราหูในคติของไทยที่เรารู้จัก


พระองค์เป็นผู้สอนให้ประชาชนรู้จักการล่าสัตว์ และจับปลาโดยเปิดผู้ริเริ่มนวตกรรมใหม่นั่นคือ ถักแหและอวนเป็นอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวก รวมถึงสอนวิธีการหุงต้มอาหารและคิดค้นตัวอักษร

แต่จากการวิเคราะห์โดยนักโบราณคดีพบว่า เจ้าแห่งสวรรค์ฮกฮีควรเป็นบุคคลในยุคกลางหินกลางมากกว่า ดังนั้นการคิดค้นตัวอักษรซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ในยุคหินใหม่จึงยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในยุคของพระองค์ ในยุคของพระองค์น่าจะเป็นการใช้เชือกผูกเป็นปมหรือการจัดทำขีดความหมายเพื่อแสดงความหมายบางประการ ซึ่งในยุคหลังมีความเชื่อว่าขีดและจุดเหล่านี้ คือ แผนผังยันต์แปดทิศ และผังห่อโต้ว จึงทำให้พระองค์ได้รับการสรรเสริญให้เป็นบิดาแห่งยันต์แปดทิศ และผังห่อโต้วอีกด้วย

พระองค์ทรงปกครองชนเผ่าอยู่ทั้งสิ้น 115 ปี


**สงวนลิขสิทธิ์**

Saturday, 7 December 2013

ที่มาของราศีบนทั้งสิบศาสตร์จีน

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ผมมีความเชื่อว่าทุกอย่างๆในโลกไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญการที่คุณผู้อ่านที่รักได้มาอ่านบทความของผมในคอลัมน์ศาสตร์จีนก็คงเป็นเพราะเราเคยอุปถัมภ์กันมา คุณคงเคยมอบความรู้ให้ผม ในวันนี้ผมขอมอบแด่คุณต้องขอบคุณทุกๆท่านที่ทำให้ผมได้มีโอกาสค้นคว้าหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง ในโหราศาสตร์โดยเฉพาะในเมืองไทยเวลาทำนายมักจะมีการกล่าวอ้างถึงว่าคุณเป็นธาตุนั้น เธอเป็นธาตุนี้ ธาตุนั้นสัมพันธ์กันแบบนั้นแบบนี้ แล้วความรู้นี้เริ่มต้นมาได้อย่างไร

ในสมัยโบราณประมาณ 4000 ปีมาแล้วในประเทศจีนขณะนั้นเป็นการปกครองของราชวงศ์เซียง (商朝) ได้กำหนดให้ในหนึ่งสัปดาห์มีทั้งสิ้น 10 วันมีอักษรจีน 10 ตัวเป็นตัวแทนเราเรียกอักษรจีนทั้งสิบตัวนี้ว่า ราศีบนหรือเทียงกัง天干 ซึ่งราศีบนทั้งสิบนี้ยังใช้เป็นชื่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ทำให้เราสามารถทราบได้ว่าในหนึ่งสัปดาห์มีวันใดตรงกับอักษรใดเราก็ทำพิธีคาราวะบรรพบุรุษที่มีชื่อเดียวกันนั้น

วันทั้งสิบในสมัยเซียงนั้นเกิดจากความเชื่อที่ว่าพระอาทิตย์มีทั้งสิ้นสิบดวง ตำนานพระอาทิตย์สิบดวงผมได้เขียนไว้ในเฟสบุกซ์เรื่องนิทานก่อนนอนตอนซักวันหนึ่ง เทพธิดาพระจันทร์และกระต่ายหยก เรื่องนี้เล่าถึงว่าในยุคบรรพการมีนักรบที่เก่งกล้ามีความแม่นยำดั่งจับวางในการยิงธนู เขาสามารถยิงทุกสิ่งได้ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม พระอาทิตย์ทั้งสิบเป็นลูกของเง็กเซียนฮ่องเต้แปลงกายมา มีอยู่วันหนึ่งพระอาทิตย์จะขึ้นพร้อมกันทั้งสิบดวงทำให้นักรบผู้นี้ต้องยิงพระอาทิตย์ดับไปถึงเก้าดวง เนื้อหาเป็นอย่างไรสามารถหาอ่านได้นะครับ ตอนนี้เรากลับมาพูดถึงเรื่องพระอาทิตย์สิบดวงกันต่อ เมื่อพระอาทิตย์หมุนเวียนเปลี่ยนกันขึ้นไปมาครบสิบดวงเท่ากับเวลาหนึ่งสัปดาห์สมัยเซียงเราเรียกว่า ซุ้ง ()

ในวิหารบรรพชนของสมัยเซียงพบว่าบุรพกษัตริย์ของราชวงศ์เซียงล้วนมีชื่อตามราศีบนทั้งสิบทุกๆพระองค์ ดังตัวอย่างต่อรายพระนามดังต่อไปนี้



พระองค์แรก ไต่อิก大乙 เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เซียง มีคุณูปการในการโค่นล้มจักรพรรดิผู้ชั่วร้ายแห่งราชวงศ์แห่ (夏朝) และสถาปณาราชวงศ์ขึ้นที่เมืองอังเอี๊ยง พระราชอำนาจแผ่กระจายไปจนถึงแม่น้ำฮวงเหอชนเผ่าต่างๆขึ้นตรงด้วยเป็นจำนวนมาก ตัวอักษร จึงมักได้รับการผูกพันอยู่กับดาวมงคลประเภทต่างๆเช่น ดาวอุปถัมภ์ หรือวิชาทำนายที่ขึ้นชื่อว่าบังทองและขงเบ้งชำนาญมากอย่างวิชา ไท้อิก ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์เซียงเป็นต้น






พระองค์ที่สอง ไต่เตง大丁  
พระองค์ที่สาม ไต่กะ大甲 เรื่องราวของพระองค์ที่บันทึกในมหาประวัติศาสตร์โดยซือหม่าเซียนระบุว่า พระองค์ครองราชย์เป็นลำดับที่สี่ โดยก่อนหน้านั้นมีปิตุลาของพระองค์พระนามว่ากัวเปี้ย外丙 และต๋งยิ้ม仲壬เป็นผู้สำเร็จราชการแทน เมื่อพระองค์เจริญวัยจึงได้ขึ้นครองราชย์และในรัชสมัยของพระองค์ พระองค์มีที่ปรึกษาระดับตำนานอย่าง อี่เอง (伊尹) ผู้รจนาบทอี่หุง (伊訓) ซึ่งเป็นหลักปกครองโดยธรรม ปัจจุบันนี้บันทึกดังกล่าวได้ถูกรวบรวมเข้าไว้เป็นบทๆหนึ่งในคัมภีร์แจเกง (書經) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าคัมภีร์สำคัญของขงจื๊อ คุณูปการ อี่เอง ดำรงตำแหน่งเป็นอัครมหาเสนาบดีของเซียง ตัวอักษร นี้จึงมักจะผูกพันกับเรื่องใหญ่ๆรวมถึงวิชาทำนายอย่างแปดประตูพิสดารที่มีชื่อว่า ขี่มึ๊งตุ่งกะเป็นต้น (奇门遁甲)
พระองค์ที่สี่ ไต่แก大庚 พระองค์ปกครองประเทศอยู่ 25 ปีด้วยความผาสุข
พระองค์ที่ห้า ไต่โบ่ว  大戊ในยุคของพระองค์เกิดปรากฎการณ์ประหลาดนั่นคือในพระราชวังปรากฏต้นหม่อนและต้นข้าวฟ่างโตขึ้นมาด้วยกัน พระองค์ปกครองประเทศด้วยความร่มเย็นเป็นสุขถึง 75 ปี ในระหว่างนั้นชนเผ่าทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกล้วนส่งบรรณาการมาแสดงความคาราวะ ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์มากนับได้ว่าเป็นยุคทองของราชวงศ์เซียงเลยก็ว่าได้
เมื่อเห็นรัชสมัยของจักรพรรดิทั้งสามพระองค์ทำให้นึกถึงการปรากฏของอักษร  甲庚戊 ในดวงจีนสายโป๊ยหยี่สี่เถียวเราเรียกว่าการปรากฏนี้ว่า ซำคี้ หมายถึงประสบความสำเร็จสามารถคำชูวงศ์ตระกูล แม้ตกอับก็จะมีผู้ช่วยเหลือเหมือนดั่งยุคสมัยของจักรพรรดิทั้งสามพระองค์ที่ผ่านมา

ภาพชนเผ่าลำอี้ที่บุกโจมตีอาณาจักรเซียงในสมัยของพระเจ้าตงเตง

พระองค์ที่หก ตงเตง  中丁ในการปกครองของพระองค์ ได้มีชนเผ่าคนเถื่อนนามว่า ลำอี้ (蓝夷)เข้าโจมตีอาณาจักรโดยชนเผ่านี้จะสวมใส่ชุดเกราะสีฟ้าทำให้มีอีกชื่อว่า คนเถื่อนสีฟ้านับเป็นรอยต่อที่ได้รับความท้าทายเป็นอย่างมากเพราะต้องถูกเปรียบเทียบกับจักรพรรดิพระองค์ก่อน

พระองค์ที่เจ็ด โจ้วอิก 
祖乙 ในยนุคสมัยของพระองค์ได้ปรากฏบุคคลมีความสามารถนาม บู๊เฮียง (巫贤) มาดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีทำให้แว่นแคว้นมีความสงบสุขและเป็นปึกแผ่น พระองค์จึงไดครองราชย์บัลลังนานถึง 19 ปี เมื่อเทียบกับพระบิดาที่ได้ครองเพียงเก้าปีนับว่านานกว่ากันมาก
พระองค์ที่แปด โจ้วซิง  祖辛
พระองค์ที่เก้า โจ้วเตง  祖丁
พระองค์ที่สิบ เสี้ยวอิก小乙
พระองค์ที่สิบเอ็ด บู้เตง武丁 ในยุคนี้ราชวงศ์เซียงได้พระจักรพรรดิที่ทรงปรีชาสามารถ เนื่องจากพระองค์ตอนเป็นองค์ชายได้รับการศึกษาที่เมืองห่างไกล ได้พบเห็นปัญหาของการชิงที่ดินทำกิน สัตว์เลี้ยง และผู้คนของชนเผ่ารอบๆข้างทำให้พระองค์หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ เลือกพระชายาจากชนเผ่าต่างๆ เรื่องราวของพระองค์ทำให้นึกถึงคุณสมบัติของไฟเตงมีคำกลอนปรากฏอยู่ในหนังสือดวงจีนสายโป๊ยหยี่สี่เถียวชื่อ ติเทียงช่วย (滴天髓) กล่าวไว้ว่า

丁火柔中,内性昭融。抱乙而孝,合壬而忠。旺而不烈,衰而不穷,如有嫡母,可秋可冬

ไฟเตงเป็นธาตุที่อ่อนโยน นิสัยดีมีจิตเมตตา รักชอบไม้อิกเป็นที่ตั้ง ร่วมน้ำยิ้มมีคุณงามความดี แข็งแรงไม่เท่าไฟเปี้ย แม้อ่อนแอแต่ไม่อับจนเหมือนมีแม่อุ้มชูให้พลัง ย่อมผ่านพ้นวันชิวและตัง จากมหาตำนานอ่านดวง ฉบับภาไทย เล่มที่ 1 เรียบเรียงโดย อาจารย์ ชัยเมษฐ์ เชี่ยวเวช

ซึ่งองค์จักรพรรดิบู้เตงก็ใช้การประสานหรือฮะตนเองเข้ากับชนเผ่าต่างๆได้อย่างกลมกลืน และมีกุศโลบายในการปกครองโดยการยกย่องบูรพกษัตริย์เป็นสำคัญนับได้ว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักรเซียงก็ว่าได้
พระองค์ที่สิบสอง โจ้วกะ祖甲 มีพระอนุชาพระนามว่า บอกยิ้ม 卜壬 แม้ว่าพระองค์จะปกครองอาณาจักรได้หลายปีแต่ความสงบสุขเรียกได้ว่ามีน้อยมากเพราะนับจากปฐมกษัตริย์เป็นต้นมายุคของพระองค์พบศึกสงครามบ่อย และยังมีกบฏเกิดขึ้น
พระองค์ที่สิบสาม คังเตง康丁มีพระอนุชาพระนามว่า เล่อกี้呂己
พระองค์ที่สิบสี่ บู้อิก武乙 ในช่วงหลังๆของราชวงศ์เซียงได้พบกับความท้าทายด้านการทหารหลายต่อหลายครั้ง ในยุคนี้เกิดสงครามขึ้นหลายครั้ง และเริ่มมีอาณาจักรที่โดดเด่นขึ้นนั่นคืออาณาจักรจิวนั่นเอง พระองค์สวรรคตเพราะถูกฟ้าผ่าในระหว่างที่ออกป่าล่าสัตว์
พระองค์ที่สิบห้า บุ๊งบู้เตง文武丁มีพระอนุชาพระนามว่า บอกเปี้ย卜丙 ในช่วงเวลาของพระองค์ได้ก่อสงครามไปทั่วและได้มีขุนศึกคู่พระทัยซึ่งเป็นเจ้าเมืองของแคว้นจิวนามอ๋องกุ้ย (王季) ทำให้พระองค์สามารถเอาชนะชนเผ่าต่างๆได้ทั่วทุกทิศ พระองค์เกรงกลัวว่าต่อขุนศึกคู่พระทัยท่านนี้จะแปรพักตร์ หลังจากชนะสงครามสุดท้าย พระองค์ทรงโปรดปูนบำเหน็จแก่อ๋องกุ้ยเป็นจำนวนมากหลังจากนั้นส่งมือสังหารลอบฆ่าทิ้งในเวลาต่อมา นับได้ว่าการปกครองแผ่นดินโดยธรรมของไท้อิกปฐมกษัตริย์ได้เริ่มสั่นคลอนถึงขีดสุดแล้วหลังจากนี้ก็เข้าสู่ภาวะล่วงโรย

พระองค์ที่สิบหก ตี่อิก
帝乙
พระองค์ที่สิบเจ็ด ตี่ซิง帝辛พระองค์สุดท้ายเป็นจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงในด้านร้ายที่โด่งดังมากหลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ทรงพระสมญานามว่า พระเจ้าติ้วอ๋อง紂王จักรพรรดิองค์นี้เป็นองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เซียงพระองค์เป็นคนโหดเหี้ยมอำหิตสั่งประหารชีวิตคนด้วยวิธีพิสดารเกินกว่าที่เราๆจะเข้าใจได้ พระองค์เป็นผู้ก่อให้เกิดสงครามรบกับราชวงศ์จิวและพ่ายแพ้ให้กับจิวบู้อ๋องในที่สุด (周武王) จนนักปราชญ์ราชวงศ์เหม็งนำไปเขียนเป็นนิยามปกรณัมเรื่อง ห้องสิน ที่โด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน นักโบราณคดีมีความเชื่อว่าพระนามของจักรพรรดิทุกๆพระองค์ในสมัยเซียงถูกคัดเลือกโดยวิธีการเสี่ยงทาย
ตอนนี้เรามาดูรากศัพท์ของราศีบนทั้งสิบกันนะครับว่ามีความหมายว่าอะไรบ้าง
สัญลักษณ์ราศีบน
ความหมายในสมัยโบราณ
ความหมายทางโหราศาสตร์
เปลือกหอย
ธาตุไม้เอี๊ยง สูงศักดิ์ มีค่าควรเมือง อันดับแรก หัวหน้า ผู้นำ นายกรัฐมนตรี
ก้างปลา
ธาตุไม้อิม อ่อนโยน ศิลป์ วัฒนธรรม โอนอ่อน แปรตามกระแส
หางปลา
ธาตุไฟเอี๊ยง ความหวัง ความวุ่นวาย อดทน อบอุ่น  แหลมคม มีอำนาจ
เล็บ
ธาตุไฟอิม ความหวัง ความเสียสละ การพัฒนา การลอบสังหาร
หอก
ธาตุดินเอี๊ยง สถานทางสังคม ข้อตกลง เมืองหลวง เงินทอง การเงินการธนาคาร ซื่อสัตย์
อุปกรณ์ที่ใช้ทอผ้า
ธาตุดินอิม การวางแผน ความปรารถนา แผนการ ความคิดสร้างสรรค์ รอบคอบ
ดาวศุกร์
ธาตุทองเอี๊ยง อุปสรรค เกราะคุ้มกัน การต่อสู้ ความกล้าหาญ พลังในการขับเคลื่อน ป่าเถื่อน
ผู้บังคับบัญชา
ธาตุทองอิม ความผิดพลาด ปัญหาการประท้วง การปลดแอก การเกิดขึ้นของนวัตกรรม
ภาระหน้าที่
ธาตุน้ำเอี๊ยง การเพาะพันธุ์ ก๊าซธรรมชาติ การไหล ความสับสน การเคลื่อนที่ ปัญญา
กำจัดวัชพืช
ธาตุน้ำอิม การควบคุม ความลำบาก การเคลื่อนที่แบบเป็นพลวัต เกี่ยวกับเพศและประเวณี
ในปัจจุบันนี้อักษรทั้งสิบตัวได้เป็นตัวแทนของธาตุทั้งห้า ไฟ ดิน ทอง น้ำ ไม้ แบ่งออกเป็นอิมและเอี๊ยงโดยกำหนดให้
甲丙戊庚壬
เป็นตัวแทนของฝ่ายเอี๊ยง 乙丁己辛癸 เป็นตัวแทนของฝ่ายอิม

และใช้อักษรเหล่านี้ในการทำนายทุกประเภทของจีน

เราสามารถมองดูยุคสมัยของเซียงด้วยกฎของไตรลักษณ์อย่างการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และการเสื่อมสลายเป็นวงโคจรที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและคงเป็นนี้ชั่วนิรันดร 
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เราจะรับมือต่อการดับสูญได้อย่างไร ปัญหานั้นอยู่ที่คุณจะสามารถใช้ช่วงเวลาที่ดีที่มีอยู่จำกัดให้ประโยชน์สูงสุดได้อย่างไรต่างหาก

ประเทศจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กะ อิก เปี้ย เตง โบ่ว กี้ แก ซิง ยิ้ม กุ่ย ได้ข้ามกาลเวลามาให้คุณได้ใช้งานโปรดอย่าลืมคุณค่าของอดีต

หากคุณผู้อ่านคุณมีข้อสงสัยอยากสอบถามเกี่ยวกับบทความศาสตร์จีน สามารถฝากคำถามได้ที่ www.facebook.com/heavensign ครับ

**สงวนลิขสิทธิ์**