บุคคลท่านนี้ คือ พระแม่ธรณีหนึ่งออ หรือเทพธิดาหนึงวาสี พระองค์ถือเป็นหนึ่งในสามกษัตริย์ของยุคโบราณของจีนครับ โดยการจัดอันดับในบันทึกมหาประวัติสาสตร์ของซีแบ้เชง司馬遷 (ซือหม่าเซียน) ราชวงศ์ฮั่ง漢朝 (ฮั่น) พระนามหนึงวาสีที่ผมใช้นี้ ผมใช้ตามวรรณกรรมเรื่อง ห้องสิน 封神演義 ที่ได้รับการแปลในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ส่วนชื่อของเทพธิดาพระองค์นี้ในภาษาจีนกลางจะออกเสียงว่า เทพนหวี่วา女媧
ท่านเป็นนางฟ้าในเทพปกรณัมจีนมีปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง
ไคเภ็ก (开辟演義) หรือบันทึกการสร้างโลก โดยในวรรณกรรมนี้ระบุรายละเอียดพระวรกายของเทพธิดาหนึงวาสีไว้ดั่งนี้ว่า
“พระพักตร์ขาว พระทนต์ขาวเหมือนแก้วสี พระโอษฐ์แดง สูงสิบห้าศอกกับอีกหนึ่งคืบ รูปงาม มีสติปัญญา”
ความงามของพระองค์เป็นที่ร่ำลือมาก เรียกได้ว่า งามขนาดล่มเมือง ทั้งนี้ในวรรณกรรมเรื่องห้องสินได้ระบุความงามของเทพธิดาหนึงวาสีไว้ตอนหนึ่งว่า
“พระพักตร์ขาว พระทนต์ขาวเหมือนแก้วสี พระโอษฐ์แดง สูงสิบห้าศอกกับอีกหนึ่งคืบ รูปงาม มีสติปัญญา”
ความงามของพระองค์เป็นที่ร่ำลือมาก เรียกได้ว่า งามขนาดล่มเมือง ทั้งนี้ในวรรณกรรมเรื่องห้องสินได้ระบุความงามของเทพธิดาหนึงวาสีไว้ตอนหนึ่งว่า
พระเจ้าติวอ๋อง 商紂王ผู้เป็นจักรพรรดิครองเมืองจิวโก๋ แห่งราชวงศ์แห่ 商朝ได้พระราชดำเนินไปสักการะเทพธิดาหนึงวาสีที่ศาลสถิตเทพ ปรากฏพบเห็นเพียงเงาจางๆจากแค่วูบหนึ่งที่ลมพัดให้ม่านที่ปกปิดเผยอออกเท่านั้น
ทำให้พระเจ้าติวอ๋องเห็นรูปลักษณ์ไม้สลักของเทพธิดาที่อยู่ภายใน พระเจ้าติวอ๋องถึงกับหลงรักเทพธิดาหนึงวาสี และได้แต่กลอนเขียนไว้ที่ศาลสักการะไว้ว่า “’งามพร้อมทั่วสรรพางค์ จะดูไหนก็งามจำเริญใจจำเริญตา นี่หากว่าเป็นรูปไม้ ถ้าเป็นรูปสตรีงามดังนี้จะรับไปเป็นมเหสีครองเมือง”
เพราะโคลงสี่บาทนี้ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายและเป็นการเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดของพระราชวงศ์นับแต่นั้น
เทพธิดาพระองค์นี้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างว่า
นอกจากมีพระปรีชาสติปัญญาดีสามารถทรงช่วยจักรพรรดิฮกฮีทำนุบำรุงแผ่นดินและจัดธรรมเนียมให้บ้านเมืองมีระเบียบยิ่งขึ้น
พระองค์ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้สร้างมนุษยชาติ และซ่อมกำแพงสวรรค์ (ท้องฟ้า)ด้วยหิน
5 สี โดยมีตำนานเล่าไว้ว่า
“ครั้งจงกงสีพี่น้องทั้งสองรบกัน
ผู้พ่ายแพ้แค้นใจเอาศีรษะกระทบภูเขาภูเขาก็ทำลาย
ครั้งกระโดดขึ้นไปด้วยกำลังศีรษะกระแทกฟ้า
ฟ้าก็พังไปครั้นตกกลับมายังแผ่นดินแผ่นดินก็ถล่ม
พระอาทิตย์พระจันทร์ไม่สามารถส่องแสงได้ ความมืดมนปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน เทพธิดาหนึงวาสีเห็นดังนั้นจึงนำเอา
ศิลาเหลือง ศิลาแดง ศิลาเขียว ศิลาดำ และศิลาขาว
มาเคี่ยวให้ละลายแล้วและไปปิดยารอยแตกฟ้าและดินให้กลับสู่ความเป็นปรกติ
พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ส่องสว่างดังเดิม ”
ทำให้นักประวัติศาสตร์
ซีแบ้เล้ง นับเป็นเทพธิดาหนึงวาสีเป็นประมุขคนที่สองของประเทศจีนในยุคบรรพกาลด้วย ประมุขในครั้งบรรพกาลสามพระองค์ของจีน
ได้แก่ เทพเจ้าฮกฮี 伏羲 เทพธิดาหนึงวาสี (女媧)
พระองค์ที่สามได้แก่เจ้าแห่งมนุษย์ซิ้งล้ง (神農)
รวมเรียกยุคนี้ว่า ยุคสามกษัตริย์ 三皇 ซึ่งในยุคของเทพเจ้าฮกฮีและเทพธิดาหนึงวาสี เกิดเหตุสำคัญขึ้นนั่นก็คือมหาอุทกภัย “น้ำท่วมครั้งใหญ่”
พระองค์ที่สามได้แก่เจ้าแห่งมนุษย์ซิ้งล้ง (神農)
รวมเรียกยุคนี้ว่า ยุคสามกษัตริย์ 三皇 ซึ่งในยุคของเทพเจ้าฮกฮีและเทพธิดาหนึงวาสี เกิดเหตุสำคัญขึ้นนั่นก็คือมหาอุทกภัย “น้ำท่วมครั้งใหญ่”
ในปกรณัมเทพของจีนก็ได้มีบันทึกถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จนเกิดความพินาศไปทั่ว
มีมนุษย์สองคนที่รอดจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้แก่ เทพเจ้าฮกฮีและเทพธิดาหนึงวาสี ซึ่งตามตำนานระบุว่าเทพธิดาหนึงวาสีเป็นพระกนิษฐาของเทพเจ้าฮกฮี ทั้งสองพระองค์ได้หนีภัยน้ำท่วมไปบนเทือกเขาสูงที่เรียกกันว่า
เทือกเขาคุนลุ้น 昆仑山และได้รับสาสน์จากสวรรค์ว่าให้ทำการสร้างมนุษย์ขึ้น
ทั้งสองพระองค์จึงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากดิน โดยทำการปั้นเป็นหุ่นรูปคน เมื่อรูปปั้นดินได้รับปราณจากฟ้าและดินจึงเกิดมีชีวิตขึ้น
ทั้งสองพระองค์จึงถือเป็นเทพบิดรและเทพมารดรของมนุษย์